
ประวัติหมู่บ้าน ตำบลดอยงาม
Village History , Tambon Doi Ngam
หมู่ที่ 5 บ้านท่าดอกแก้ว
Moo.5 , Ban Tha Dok Kaeo
บริบทชุมชน
บ้านท่าดอกแก้ว เป็นประชากรที่อพยพมาจาก จังหวัดลําพูนและได้มาก่อตั้งหมู่บ้านท่าดอกแก้ว ซึ่งปัจจุบันมีจํานวนครัวเรือนทั้งหมด 150 ครัวเรือน โดยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ทํานา ทําสวน เกษตรกรรม เกษตรกร เลี้ยงปลา พืชที่ชาวบ้านนิยมปลูกกันคือ มะระ ถั่ว พริก ปลาที่เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นปลานิล มีการจัดตั้งกลุ่มเข้าร่วมกลุ่มกันเป็นชมรม
ปราชญ์ชุมชน
นายสุทน สานอําพา (เกษตรกรปลูกมะระ และเลี้ยงปลา)
ผู้ริเริ่มการทําเกษตรหมู่บ้านคือ นายสุทน สานอําพา ซึ่งได้เดินทางจากจังหวัดนครปฐม โดยมาตั้งรกรากที่บ้านท่าดอกแก้ว และริเริ่มการปลูก มะระ เมื่อชาวบ้านเห็นว่าปลูกมะระแล้วขายได้กําไรดี จึงได้มีการเริ่มปลูกมะระกัน ในชุมชนมีการรวมกลุ่ม และมีผู้สนใจมาเรียนรู้ ส่วนมากจะเป็นเกษตรกรที่สนใจปลูกมะระ ไปจําหน่ายให้กับชุมชนนอกพื้นที่ โดยจะมีแม่ค้าคนกลางมารับซื้อ ซึ่งปลาภายในบ่อจะขายให้กับทางชมรม โดยชมรมต่าง ๆ จะเข้ามารับซื้อ เช่น ชมรมปลานิลเมืองพาน ชมรมปลาเชียงราย ชมรมปะมง สหกรณ์ ปะมงพาน เป็นต้น
ของดีประจำหมู่บ้านท่าดอกแก้ว
ลำน้ำแม่ฮ่าง
ลำน้ำแม่ฮ่าง มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่บรรพบุรุษได้มาตั้งรกรากถิ่นฐานทำมาหากินสืบซึ่งลูกหลาน เป็นแหล่งน้ำทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงชุมชนมาอย่างยาวนาน
มีการขอขมาแม่พระคงคา เป็นประจำทุกปี
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา ลำน้ำแม่ฮ่าง ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนและอนุรักษ์พันธุ์ปลาน้ำจืด
ของดีประจำหมู่บ้านท่าดอกแก้ว
สุราพื้นบ้าน
สุราพื้นบ้าน เป็นของคู่กับชาวบ้านชนบทมาช้านาน เป็นการนำสมุนไพรหลายชนิด เช่น ข่า ตะไคร้ พริก กระเทียม ฯลฯ มาบดผสมกันเป็นแป้ง ใช้หมักกับข้าวเหนียว แล้วนำมาต้ม และกลั่นเป็นสุรา ซึ่งได้ขออนุญาต ตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนเรียบร้อยแล้ว
ปัจจุบันได้มีการผลิตและจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมีการผลิตเพิ่มเติมเป็นไวน์ข้าวเหนียว เป็นการทดลองทำผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากขึ้น
ของดีประจำหมู่บ้านท่าดอกแก้ว
พริกลาบ
ตั้งแต่สมัยโบราณ ผู้คนในชุมชนนิยมกินลาบ ไม่ว่าจะเป็นลาบหมู วัว ควาย ในชุมชนมีการผลิตพริกลาบ ซึ่งในส่วนประกอบของพริกลาบนั้นจะประกอบไปด้วยสมุนไพร ซึ่งเป็นเครื่องเทศ ผสมอยู่ด้วยจะทำให้มีกลิ่นหอม
หลังจากที่ทาง นางบัวเขียว ได้มีการผลิตและทดลองทานเองในครอบครัว และญาติพี่น้องแล้ว ต่อมาจึงได้ผลิตขายเป็นที่รู้จัก และมีการพัฒนาทำลาบขายในตลาดนัดอีกด้วย
หมู่ที่ 6 บ้านสันมะกอก
Moo.6 , Ban San Makok
บริบทชุมชน
บ้านสันมะกอก มีถิ่นฐานมาจากจังหวัดเชียงใหม่ และลําพูน ที่อพยพมาเมื่อนานมาแล้ว จึงทําให้มีสําเนียงการพูดเลยเป็นสําเนียงเชียงใหม่
ในปัจจุบันชาวบ้านสันมะกอก มีอาชีพที่ติดตัวมาจากเชียงใหม่ คือ ประติมากรรมปูนปั้น และเครื่องปั้นดินเผา แต่ในอดีตชาวบ้านมีอาชีพที่หลากหลาย เช่น ครูช่างซอ ครูปี่ ซึ่งอพยพมาจากอําเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในปัจจุบันได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว
ปราชญ์ชุมชน
นายมานพ ทัพนิล (ผู้มีความรู้ด้านงานประติมากรรมปูนปั้น)
นายมานพ ทัพนิล เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านสันมะกอก แต่เดิมการมาทําประติมากรรมปูนปั้นนั้น ได้รับความรู้จากบิดาที่เป็นช่างปั้น ตอนยังเป็นเด็กชอบเล่นปั้นตามบิดา จึงมีการซึมซับทักษะการปั้น รวมทั้งการสังเกตด้วยตนเอง และไปเรียนเพิ่มเติมจากอาจารย์ที่จบทางด้านศิลปะ และพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง งานปั้นที่ทําส่วนมากจะเป็นงานทางด้านศาสนา เช่น ปั้นพระพุทธรูป ส่วนปลายของวิหาร อุโบสถเป็นต้น
ปราชญ์ชุมชน
แม่น้อย มหาวรรณ (ผู้มีความรู้ด้านเครื่องปั้นดินเผา)
แม่น้อย ได้ริเริ่มปั้นหม้อดินเผานานกว่า 50 ปี จุดเริ่มต้นในการมาทําเครื่องปั้นดินเผาคือ ได้ความรู้จากพ่อแม่ที่มีอาชีพปั้นหม้อขาย จึงมีการสืบทอดความรู้ต่อมา ซึ่งในอดีตชาวบ้านหมู่บ้านสันมะกอก มีอาชีพปั้นหม้อแทบทุกบ้าน แต่ในเวลาต่อมาคนรุ่นหลังให้ความสนใจน้อยลงหันไปทําอาชีพอื่นแทน ในปัจจุบันนี้มีการประยุกต์ใช้แป้นหมุนเพื่อช่วยขึ้นรูปดินให้ ง่ายขึ้นจากเมื่อก่อน ใช้วิธีการเดินหมุนวนรอบแล้วปั้นหม้อไปด้วย ส่วนดินที่ใช้ปั้นเป็นดินดาก นํามาโม่ผสมทรายหนึ่งส่วนให้มีความเหนียวแล้วจึงนํามาปั้น
ของดีประจำหมู่บ้านสันมะกอก
พรมเช็ดเท้า
กลุ่มแม่บ้านสันมะกอก ได้มีการรวมกลุ่มกัน ในช่วงฤดูของการทำนาปลูกข้าว และได้มีการปรึกษาหารือกัน เพื่อหารายได้เสริมจากการทำนาปลูกข้าว จึงได้รวมกลุ่มกันเย็บพรมเช็ดเท้าจำหน่าย
มีการผลิตอย่างต่อเนื่อง และต่อมาได้มีการเพิ่มรูปแบบลวดลายใหม่ ตามความต้องการของตลาดมากขึ้น
ของดีประจำหมู่บ้านสันมะกอก
เครื่องปั้นดินเผา
การปั้นหม้อ มีการสืบทอดมาหลายชั่วอายุ สมัยก่อนมีการปั้นหม้อแทบจะทุกครัวเรือน ปัจจุบันคนเริ่มสนใจการปั้นหม้อน้อยลง จึงต้องมีการเพิ่มลวดลายใหม่ๆ ให้ทันสมัยมากขึ้น
มีการเข้าร่วมกิจกรรมการอบรมที่ทางตำบล อำเภอและจังหวัดจัดขึ้น ได้เข้าร่วมเอาเครื่องปั้นดินเผาไปจัดแสดงโชว์ในงานพิธีต่างๆ ร่วมกับตำบล
หมู่ที่ 7 บ้านสันช้างตาย
Moo.7 , Ban San Chang Tai
บริบทชุมชน
ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านสันช้างตาย แต่เดิมพื้นเพเป็นคนจังหวัดเชียงใหม่และลําพูน อพยพมา อาชีพของชาวบ้านสมัยก่อนทํานา เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ปัจจุบันค้าขายพรมเช็ดเท้า บางส่วนออกไปทํางาน ต่างจังหวัด
ประเพณีของหมู่บ้าน ได้แก่ ประเพณีสงกรานต์มีการรดน้ําดําหัว ผู้เฒ่าผู้แก่ วันเพ็ญเดือน 6 มีประเพณีสรงน้ําพระธาตุและแห่ผ้าห่มพระธาตุ
ปราชญ์ชุมชน
นายสมบูรณ์ ดวงตา (ผู้เรียบเรียงประวัติพระธาตุแก้วทันใจ)
พระธาตุแก้วทันใจ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวในอดีตในตําบล เนื่องจากหมู่บ้านอื่นในตําบลยังไม่มีพระธาตุ มีแค่หมู่บ้านสันช้างตายที่เดียว ในปี พ.ศ.2497 ตามคําบอกเล่าของ พ่อสีนวล วรรณนา ว่าเกิดความแห้งแล้ง ทุกพื้นที่รวมถึงหมู่บ้านสันช้างตาย ตามความเชื่อของคนโบราณ ถ้าเกิดความแห้งแล้งต้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อบนบานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลให้ฝนตก เพื่อที่จะได้ทําการเกษตรซึ่งได้มีการไปขุดค้นสิ่งต่างๆ ในวันหนึ่ง นายคํา สมบูรณ์ ไปขุดเจอจอมปลวกกองใหญ่มีดินหุ้มล้อมรอบ แต่ไม่สามารถขุดต่อได้ จึงได้ไปเรียกพระสงฆ์และคนเฒ่าคนแก่ ที่อยู่ในวัดให้มาดู ในสมัยนั้นมีการสันนิษฐานว่าในยุคนั้นชาวบ้านกลัวพม่ามารุกราน และกวาดต้อนสิ่งมีค่าไป จึงพากันเก็บรวบรวมมาไว้ที่เดียวกัน แล้วมีการสร้างพระธาตุครอบไว้ ซึ่งภายในพบพระพุทธรูปหินใส จากการมาดูของผู้มีความรู้ได้ สันนิษฐานว่ามาจากศิลปะของภูกามยาวเป็นคนสร้าง และพบก้อนอิฐขนาดใหญ่ ซึ่งมีการจารึกตัวอักษรไว้ ซึ่งหลายท่านที่อ่านตัวอักษรธรรมล้านนาได้ บอกว่าไม่ใช่ตัวอักษรธรรมล้านนาและไม่ใช่ตัวอักษรขอม และลูกศิษย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สันนิษฐานว่าเป็นอักษรไทยฝักขาม ซึ่งถ้าพัฒนาต่อมา จะเป็นอักษรไทย เมื่อค้นพบก็มีการบูรณะประติสมโภช มีการทําพิธีต่าง ๆ เพื่อขอฝน
ต่อมาอีกไม่กี่วันก็มีฝนตกลงมา สร้างความดีใจให้กับชาวบ้าน หลังจากนั้นมาจึงมีประเพณีในวันเพ็ญเดือน 6 ประเพณีสรงน้ําพระธาตุ และแห่ผ้าห่มพระธาตุ
ปราชญ์ชุมชน
นางวรรณเพ็ญ ติ๋มบุษผา (กลุ่มพรมเช็ดเท้า)
การทําพรมเช็ดเท้าของ นางวรรณเพ็ญ ติ๋มบุษผา เป็นแบบซื้อมาแล้วขายไป กับกลุ่มแม่บ้านในหมู่บ้านทําได้ประมาณ 10 ปี จุดเริ่มต้นของการทําพรมเช็ดเท้า คือเมื่อก่อนทํางานอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นผู้จัดการโรงงาน กระเป๋าส่งออก พอโรงงานเลิกกิจการจึงชวนสามีทํากิจการพรมเช็ดเท้า และกระจายงานให้กลุ่มแม่บ้าน
มีอาชีพเสริม (กลุ่มแม่บ้านมีประมาณ 30-40 คน) โดยทําแบบซื้อมาขายไป คือสั่งวัตถุดิบจากกรุงเทพฯ เช่น ผ้า แผ่นรองเย็บ แล้วให้กลุ่มแม่บ้านมารับอุปกรณ์ไปเย็บ พอเสร็จงานเขาก็เอามาส่ง แล้วทาง นางวรรณเพ็ญ ติ๋มบุษผา ก็เอาไปส่งอีกต่อหนึ่งตามร้านค้าขนาดใหญ่ ในจังหวัด พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ กําแพงเพชร แต่โดยส่วนมากแล้วส่งที่ กรุงเทพฯ อยุธยา อ่างทอง สุพรรณบุรี
ของดีประจำหมู่บ้านสันช้างตาย
พระธาตุแก้วทันใจ
พระธาตุแก้วทันใจ ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 บ้านสันช้างตาย ตำดอยงาม อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ห่างจากสถานที่ตั้งเวียงห้าว หรือเมืองแช่พราน ที่เป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของอำเภอพาน ทางทิศตะวันตกประมาณ 5 กิโลเมตร มีตำนานกล่าวขานไว้ว่าปี พ.ศ. 2497 บ้านเมืองเกิดภัยแล้งในช่วงฤดูทำนาขึ้นในภาคเหนือ ประชาชนต่างก็ไม่ได้ทำนาต่างคนต่างแสวงหาทรัพย์สมบัติวัดร้างต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อความอยู่รอดของตนเอง พร้อมทั้งพระเณรก็เป็นไปด้วยโดยไม่ได้นัดหมายกันต่อมาเมื่อ วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2497 ตรงกับเดือน 11 เหนือขึ้น 15 ค่ำ ตอนกลางวันมีการทำบุญที่วัดสันช้างตาย เนื่องจากอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ก็มีศรัทธามาบอก ศรัทธาคนนั้นคือ นายคำ สมบูรณ์ บอกเจ้าอาวาสว่าท่านเป็นคนพบพระธาตุองค์นี้ และได้ทำการขุดมาแล้วหลายวันแต่ไม่ได้ทำลายพระธาตุแต่อย่างใดเพียงแค่รื้อถอน ดิน อิฐ ที่กลบองค์พระธาตุได้ประมาณ 3 ส่วน ก็หมดกำลังใจแล้ว ตอนเที่ยงวันเลิกจากวัด ท่านเจ้าอาวาส พระเต้ง สุภัทโท ก็พาศรัทธาไปดู ใครๆ ต่างก็พูดว่าแปลก คนสมัยก่อนคงจะหวงแหนพระธาตุองค์นี้มากคงจะเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง พระธาตุทั้งองค์ โดนดิน อิฐ กลบไว้ต่อ จากนั้นศรัทธาทั้งหลายก็พากันรื้อถอนดินที่กลบออก ทำกันไปถึง 5 โมงเย็นก็พบวัตถุโบราณ อาทิ พระพุทธรูปลักษณะต่าง ๆ โอ่งขนาดเล็กบรรจุธาตุที่มีลักษณะเป็นสีต่าง ๆ บรรจุอยู่ 4 มุมของพระธาตุ ศรัทธาทั้งหลายก็ไชโยโห่ร้องลั่นต่างคนก็ดีใจกันมาก ต่างคนพูดว่าเราพบของศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ต่อจากนั้นก็มาทำทุกวัน ก็พบของมีค่าเพิ่มขึ้นอีก ไม่นานท่านเจ้าอาวาสไปแจ้งท่านเจ้าคณะ อำเภอพาน คือท่านเจ้าคุณธรรมสุภาลังกา เจ้าคณะอำเภอพานพร้อมกับ หลวงพ่อพระครูบุญมี ท่านเจ้าอาวาส วัดเทพวัลย์มาด้วย ท่านเจ้าอาวาสทั้งสองก็เลยมาเป็นประธานบูรณะต่อยอดขึ้น ทำได้ 7 วัน การบูรณะก็สำเร็จ ในวันที่ 8 ตรงกับวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.1497 ตรงกับวันที่ 11 เหนือ แรม 8 ค่ำ ก็ทำพิธียกยอดขึ้นตอนกลางคืน เกิดปรากฏการณ์ขึ้น มีฝนตกห่าใหญ่ขึ้นภาคเหนือก็เลยได้ทำนากันถ้วนหน้า หมู่ศรัทธาเกิดศรัทธาเลื่อมใสองค์พระธาตุ อีกปรากฎการณ์หนึ่ง คือมีพ่ออุ้ยปัน บ้านสันก่อตาลลูกสาวได้ป่วยเป็นไข้มานานแล้วส่งเข้าโรงพยาบาลเชียงราย เชียงใหม่ หมอรักษาก็ไม่หาย ท่านทราบข่าวพบพระธาตุแก้วทันใจ ท่านก็มาดูแล้วพบเห็นรางยา กับของที่ขุดได้จากพระธาตุ ท่านก็ขออนุญาตจากท่านเจ้าคุณ แล้วนำมาล้างให้สะอาดแล้วท่านอธิฐานเอาน้ำมาหลั่งของกับลางยา แล้วเอาไปให้ลูกดื่มกิน จากนั้นลูกของพ่ออุ้ยปันก็หายจากการป่วย ข่าวก็โด่งดังคณะศรัทธาจากทั้งใกล้และไกล ก็หลั่งไหลมาเอายาเป็นจำนวนมาก ทั้งน้ำยาและรากไม้ มีทั้งไม้ยมหิน ไม้น้ำนอง รากไม้ต่าง ๆ ที่ขุดออกมาเอาไปต้มกินหายจากโรคกันเป็นส่วนใหญ่ นี้ก็เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ทำให้ศรัทธาเลื่อมใสตลอดจนถึงทุกวันนี้
ชื่อ พระธาตุแก้วทันใจ ได้มาจากการตั้งสัจจะอธิฐาน วานอินทร์ วานพรม ถือไม้เอามาวางแล้วก็ตัดให้เท่ากัน วางแล้วเสี่ยงทายไปเรื่อยๆ จนได้ชื่อพระธาตุแก้วทันใจ ซึ่งไม้ที่ใช้เสี่ยงทายยาวจากเดิมไปหนึ่งคืบ จากนั้นก็เสี่ยงทายประเพณีได้เดือน 6 เหนือ ขึ้น 15 ค่ำ ดังได้เป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกปี บุคคลที่ทำการเสี่ยงทายคือพ่อหนานกัน บ้านแม่คาวโตน ผู้ซึ่งมาทำยอดและเวียงแก้วรอบองค์พระธาตุแก้วทันใจ ห่างจากที่ประดิษฐานองค์พระธาตุแก้วทันใจ ทางทิศใต้ ประมาณ 200 เมตร พบซากวัดเก่า มีอิฐโบราณลักษณะการก่อสร้างเหมือนแท่นประดิษฐานพระพุทธรูป นอกจากนี้ยังพบพระพุทธรูปศิลาหลายองค์ ปัจจุบันได้นำไปประดิษฐานบริเวณพระธาตุแก้วทันใจ จากการบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในอดีตได้ขุดพบกรุพระ และมีดวงแก้วส่องแสงสว่างจ้าลอยจากบริเวณพระธาตุ อีกด้วย